วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

"ข้ายังได้คู่ชีวา...อา...ดนตรี!"


อาทิตย์ 23 มกราคม 2554 ที่ผ่านมาได้ไปฟังดนตรีรอบชิงชนะเลิศ ในงาน "เซ็ทเทรด (เยาวชนดนตรีแห่งประเทศไทย" ครั้งที่ 14 ณ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นเจ้าภาพ

เป็นบุญหูบุญตา ถือเป็นมงคลปีใหม่จริงๆ

ปีหนึ่งได้ร่วมงานดีๆ อย่างนี้ครั้งเดียว ก็สุดคุ้มที่ผ่านปีมาได้ทุลักทุเลแล้วครับ...จริงนะเอ้า

เขา แบ่งเป็นสี่ระดับคือ ประถม มัธยมต้น มัธยมปลาย และอุดมศึกษา ครึ่งวันเช้ากับครึ่งวันบ่าย ระดับละสิบคน ซึ่งผ่านการคัดเลือกมาแล้ว รางวัลแบ่งเป็นเหรียญทองกับเหรียญเงินเท่านั้น เหรียญทองชนะเลิศ 1 รางวัล กับเหรียญทองรองชนะเลิศอีก 3 รางวัล อีกหกคนได้เหรียญเงินทั้งหมด

จำเพาะ เหรียญทองนอกจากเงินรางวัลแล้ว ยังได้ทุนการศึกษาด้านดนตรีที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยไม่ต้องสอบคัดเลือกวิชาดนตรีปฏิบัติและยกเว้นค่าหน่วยกิต เป็นระยะเวลา 1 ปี

พิเศษอีกคือ ปีนี้ทางวิทยาลัย คัดเลือกนักดนตรีและนักร้องทางสากลสี่คน ส่งไปฝึกปฏิบัติตามความชำนาญพิเศษเฉพาะตน ยังสถาบันดนตรีที่ประเทศออสเตรีย ราว 6-8 สัปดาห์ ระหว่างปิดเทอมอีกด้วย

กลับมาแล้วจะเป็นนักดนตรีร่วมวง ไทยแลนด์ ฟีลฮาโมนี ออเคสตราได้อีก

 


ที่ ว่าเป็นบุญหูบุญตาก็คือ ได้ฟังได้ดูเยาวชนไทยที่มีความสามารถหลากหลายอย่างคาดไม่ถึง คือกติกาเขาไม่จำกัดจะใช้เครื่องดนตรีอะไรก็ได้ (ยกเว้นเครื่องไฟฟ้า) ไปจนถึงขับร้องทุกประเภททุกชาติภาษานั่นเลย

เราจึงได้เห็นได้ฟัง นักร้องโอเปรา เสียงต่ำสุดจนสูงปรี๊ด นักร้องเพลงลูกทุ่งไทย อย่างเพลง "นกขมิ้น" ของ ครูพยงค์ มุกดา หรือเครื่องดนตรีพื้นบ้านอย่างพิณอีสาน โปงลาง ขลุ่ย ระนาด ฆ้องวง ไวโอลิน คลาริเนต แซกโซโฟน เปียโน ฯลฯ

หลาก หลายเหล่านี้แหละมาอวดฝีมือประกวดประชันกันเรียกว่า ทลายกรอบเกณฑ์แบ่งกั้นหรือข้อจำกัดเรื่อง "รูปแบบ" มุ่งความเป็นเพลงที่มีสุนทรียะอันเป็น "เนื้อหา" เป็นหลัก

ตรงนี้จึงเป็นดังว่า คือเป็นบุญหูบุญตา เพราะฟังไม่เบื่อและตื่นตาตื่นใจ โดยตลอด

นักดนตรีหรือผู้ประกวดได้ "แสดงออก" ตามอารมณ์เพลงที่ตนถนัดอย่างแท้จริง ทั้งการแต่งตัวและลีลาท่าทางซึ่งสอดคล้องกันเต็มที่

นี่ จึงเป็นเวทีใหม่ที่ให้โอกาสแก่เยาวชนได้แสดงความสามารถทางดนตรีจนแทบเรียก ว่า "ไร้ข้อจำกัด" และเยาวชนเราก็แสดงให้เห็นด้วยว่า ทำได้ถึงที่สุด เต็มความสามารถของเขาจริงๆ

เป็นเสรีทางทัศนศิลป์ ของการประกวดดวดความดีและเป็นเสรีที่เปิดโอกาสให้เยาวชนเราได้สัมผัสสุนทรี ยารมณ์ของดนตรีด้วยตัวเขาเอง ดัง "สัมผัสทิพย์" นั่นเทียว


จริง นะเอ้า คนเล่นดนตรีนั้น ถึงที่สุดจะมีอยู่ระดับหนึ่งเหมือนได้สัมผัสทิพย์ คือทิพยธาตุของรสไพเราะอันรู้ได้เฉพาะตน ที่จริงไม่เฉพาะดนตรีเท่านั้น ทุกศิลปะ นี่แหละเป็นสื่อให้จิตได้รู้สึกถึงความประณีตแห่งอารมณ์สุนทรีย์อันไปพ้นจาก ถ้อยคำพรรณาใดๆ

เว้นแต่จะสรรค์ได้เพียงคำเปรียบเทียบให้พอรู้สึกได้เช่นว่า

เรา ได้ยินเสียง "กระยางย่ำน้ำ" ในลีลาของนิ้วที่ย่างย่ำไปบนคีย์เปียโน บางครั้งก็ฉ่ำชื่นดัง "น้ำหยด" แล้วพลันก็แปรไปเป็นเสียง "กระหึ่มฝน" ประดังฟ้าแลแหล่งหลังธรณี

ขณะเสียงซัดส่ายของขิมนั้นปาน "พิรุณร่ำ"

ลีลาร่ายหยางฉิน (เครื่องดนตรีจีน) นั้น สะกดจิตสะกดใจด้วยมนต์อันเศก "หมอกไล้ขุนเขา"

แล้วพิณอีสานผสานกลองยาวก็พลิกพลิ้วให้ "ใบไม้พึมพำกับสายลม"

ได้ยินกระทั่ง "ม้าควบมาจากขอบฟ้า" และธารน้ำระริกระรินไหลอยู่ในมนต์นิ้วเปียโนแสนเสนาะ

ขลุ่ย พญาโศกของเด็กหญิงตัวน้อย กับเด็กหนุ่มนั้นโหยไห้ใจหาย ไม่น่าเชื่อเลยว่า นิ้วน้อยๆ กับลมปราณอันประจุลงในลำเลานั้นจะเศกขลุ่ยให้มีชีวิตชีวาได้ดังใจถึงปานนี้

เช่นเดียวกับคลาริเนตที่เป่าตัวมันเองให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับผู้บรรเลงเล่น

นี่ไงดนตรี

ดนตรีที่ ดร.สาทิศ อินทรกำแหง เคยรำพันเป็นบทกวีไว้ในชื่อ "ดนตรี" บทท้ายว่า

"ถึงข้าอยู่ดอนดงพงไพรกว้าง

ถึงชีพข้าอ้างจ้างสักเพียงไหน

ถึงข้าทุกข์ตรอมตรมระบมใจ

ข้ายังได้คู่ชีวา...อา...ดนตรี!"
 

ได้ เห็นได้ฟังเด็กของเราเยาวชนของเราในงานนี้ นอกจากจะเป็นบุญหูบุญตา ดังว่าแล้ว ก็ยังได้รู้สึก "อิ่มใจหายห่วง" คือ อิ่มใจที่เรามีเด็กดีเด็กเก่งอวดได้ไม่แพ้ใครในโลกแล้ว ก็ยังหายห่วงที่นักดนตรีทุกคนเขามีความสุขเป็นความสุขในขั้นที่เรียกว่า "ปีติ" เป็นความสุขประณีตลุ่มลึกอันยากที่บุคคลธรรมดาจักเข้าถึงได้

ใคร ก็ตามที่มีความสุขถึงขั้นนี้ได้ ย่อมไม่มีวันตกต่ำด้วยเขาจะเศกสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองได้เสมอตามต้องการไม่ ว่าเขาจะอยู่ในอาชีพใดหรือแม้ไร้อาชีพ

ดนตรีจะยกใจเขาให้ได้ปีติอยู่เสมอไป



*
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ : "ข้ายังได้คู่ชีวา...อา...ดนตรี!"
มติชนออนไลน์ 
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

"Room 39" แจ้งเกิดผ่านโลกออนไลน์



สินค้าสร้างสรรค์ "Room 39"
แจ้งเกิดผ่านโลกออนไลน์ -ใช้ตังค์น้อย...แต่ดังไว
 



การ สร้างมูลค่าเพิ่มของงานศิลปะในสื่อสมัยใหม่มีความจำเป็นมากขึ้นทุกที โดยเฉพาะสินค้าที่เราเรียกว่า "ความคิดสร้างสรรค์" ซึ่งเป็นสาขาที่ภาครัฐกำลัง ส่งเสริมอยู่ในปัจจุบัน ตามนโยบายครีเอทีฟอีโคโนมี

Room 39 กลุ่มคนทำดนตรี 3 คน ทอม-อิศรา กิจนิตย์ชีว์, มน-ชุติมน วิจิตรทฤษฎี, แว่นใหญ่-โอฬาร ชูใจ กำลังเป็นที่รู้จักจากยูทูบ และปัจจุบันกำลังเตรียมตัวทำซิงเกิลแรกกับค่าย Loveis ของ บอย โกสิยพงษ์ โดยที่มีแฟนคลับจากเฟซบุ๊กราว 2 แสนคน รอคอยซิงเกิลของพวกเขา

ทุกอย่างใช้เวลาประมาณ 6 เดือนในการก้าวเข้าสู่ความโด่งดัง กับการตลาดที่ลงทุนต่ำมาก ถ้าเทียบกับความสำเร็จที่เกิดขึ้นในวันนี้

นับเป็นกรณีศึกษาที่ชัดเจนที่สุดของงานสร้างสรรค์บนสื่อสมัยใหม่บนโลกดิจิทัล

ลอง ดูสถิติจากทรูฮิต เว็บไซต์เอ็นเตอร์เทนเมนต์โตตลอด โดยเฉพาะ kapook.com, mthai.com ที่มีคนเข้ามาโดยเฉลี่ย 5 แสนครั้งในแต่วัน และเฟซบุ๊กก็มีสมาชิกโตตลอดต่อเนื่องในไทยกว่า 5 ล้านคน

ขณะที่การเข้าเว็บผ่านมือถือต่าง ๆ โดยเฉลี่ย อันดับหนึ่ง ไอโฟน 8 แสนครั้งในแต่ละวัน โนเกีย 2 แสนครั้ง ไอพอดเกือบ 1 แสนครั้งต่อวัน

จาก สถิติเหล่านี้พอจะชี้ชัดได้ว่า การนำเสนอดนตรี เพลง ต้องอาศัยช่องทางใหม่ ๆ ไม่แตกต่างจากการเฟ้นหาศิลปินบนเวทีบ้านทรูเอเอฟอะคาเดมี่, เดอะสตาร์, เคพีเอ็น เพียงแต่ทุกอย่างถูกเฟ้นมาโดยคนในโลกออนไลน์



Youtube เป็นสื่อที่แรกที่นำเพลงของ Room 39 เข้ามาสู่การรับรู้ของผู้คน "มน" หนึ่งในสมาชิกของวงเล่าว่า เริ่มต้นจากการทำกันเล่นๆ ที่อเมริกา ใช้อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ เครื่องมือที่มีอยู่แล้ว ต้นทุนไม่เกิน 3 หมื่นบาท อัดเสียงในห้องพัก แล้วโพสลงยูทูบในช่วงเดือนกรกฎาคม 2553 ที่ผ่านมา พอเดือนกันยายน 2553 เพลง "เข้ากันไม่ได้" กลายเป็นเพลงแนะนำในกระทู้เฉลิมไทย และถูกแนะนำต่อในกระทู้ เพลงของเว็บ pantip ตอนนั้นตัวเลขเพจวิวยูทูบเริ่มถีบตัวขึ้นหลักหมื่น ภายในเวลา 2 เดือน จากแรงเชียร์ของสมาชิก

จากนั้นก็เริ่มมีบทความแนะนำในหน้าแรกของเว็บ kapook.com เพลง"เข้ากันไม่ได้" ก็ยิ่งกระจายไปเร็วยิ่งขึ้น

ไล่ เลี่ยกันใน Facebook ที่ "มน" ตั้งใจจะแชร์ยูทูบให้กับเพื่อนในอเมริกา มีการแชร์ลิงก์ไปสู่เพื่อนของเพื่อนในเมืองไทย จนต้องเปลี่ยนจากเฟซบุ๊กธรรมดาเป็นเฟซบุ๊กแฟนเพจในปัจจุบันซึ่งมีสมาชิกกว่า 2 แสนราย

แอปพลิเคชั่นในเฟซบุ๊กหลักก็คือ การลิงก์กับ youtube ซึ่งมีเพลงราว 30 เพลง และทำหน้าที่เชื่อมโยงแฟนคลับ บอกข่าวประชาสัมพันธ์ความเคลื่อนไหว ตารางงานโชว์ตามร้านต่าง ๆ เต็มไปถึงต้นเดือนหน้า

ปรากฏการณ์ที่ชัดที่สุดก็ตอนที่ออกงาน ของคลื่น "SEED 97.5 FM" มีคนมาฟังเพลงในงานนั้นร่วมพันคน และหลังจากออกรายการทูไนท์ โชว์ เมื่อต้นธันวาคม 2553 ที่ผ่านมา ภายในชั่วข้ามคืนก็มีสมาชิก Facebook เพิ่มขึ้นทันทีจาก 90,000 คน เป็น 130,000 คน

Twitter มีสมาชิกตามอยู่ 8,000 กว่าคน "มน" เล่าว่า คนไทยยังใช้ทวิตเตอร์น้อย เธอจึงใช้วิธีที่จะเชื่อมโยงระหว่างทวิตเตอร์กับเฟซบุ๊กแบบทูเวย์ ทำให้คนไม่เคยเข้าไปใช้เฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ ได้เข้าไปแลกเปลี่ยนข้อมูลของกันและกัน

ในทางกลับกัน บรรดาแฟนคลับในแต่ละจังหวัดต่างก็ใช้เครื่องมือสื่อสาร มือถือต่าง ๆ อินเทอร์เน็ต โซเชียล เน็ตเวิร์กในการเชื่อมโยงกลุ่ม เช่น มีการถ่ายทอดสดเสียงผ่านสมาร์ทโฟน เพื่อให้แฟนจากต่างจังหวัดได้ฟังเสียง มีการ ติดต่อผ่านเว็บบอร์ด เพื่อสั่งเสื้อกลุ่ม ถ่ายคลิปขึ้น เฟซบุ๊กของ Room 39 และของตัวเอง

วันนี้ ยูทูบมีเพจวิวรวม 30 กว่าเพลง มีคนเปิดแล้ว 27 ล้านครั้ง โดยเพลง "เข้ากันไม่ได้" มีคนเปิดมาแล้ว 2 ล้านครั้ง กับการเดินสายรับงานทั่วประเทศ และการ เตรียมตัวทำซิงเกิลกับค่ายเลิฟอีส รวมทั้งที่มาของรายได้จากการเป็นศิลปิน และอาจจะมีคอนเสิร์ตของตัวเองในอนาคต

พันทิป เฟซบุ๊ก กระปุก เอ็มไทย ยูทูบ ทวิตเตอร์ สื่อเหล่านี้มีความสามารถในการทะลุทะลวงไปยังคนรุ่นใหม่ได้สูง รวมทั้งบีบี ไอโฟน ไอพอด ไอแพด สมาร์ทโฟนต่าง ๆ และการมาของ 3 จี ที่จะทำให้การลงทุนในอุตสาหกรรมเพลงมีต้นทุนที่ต่ำ นำเสนอไปสู่สาธารณชน และเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น




*
ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4283  หน้า 25